เวทีวิชาการเพศศึกษาเพื่อเยาวชน อาชีวศึกษา ครั้งที่ 4
7 ปี เหลียวหลัง แลหน้า ศรัทธา เรียนรู้ เคียงคู่ เปลี่ยนแปลง โรงแรมวินเซอร์ 29 ก.ย. - 1 ต.ค. 53
เป็นเวทีที่รวมผู้เข้าร่วมประชุมเกือบ 300 คน ประกอบด้วยอาจารย์ที่ทำงานด้านเพศศึกษา และแกนนำเยาชนจากทั่วประเทศ
เราเป็นพี่เลี้ยงพาแกนนำเยาวชน จาก 5 สถาบันอาชีวะในจังหวัดศรีสะเกษมาประชุมและช่วยเตรียมงานประชุม เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้กระบวนการทำงาน เพราะนอกจากความเสียสละในการทำงานเพื่อส่วนรวมแล้ว ความรับผิดชอบ,ทักษะความเป็นผู้นำ ความสามัคคีในการทำงานกับคนอื่น และการสร้างความสัมพันธ์กับเครือข่าย ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรได้เรียนรู้ เพื่อสานต่อการทำงานด้านเพศศึกษาในเยาวชน ให้ยั่งยืน
· วัฒนธรรมที่รับมาจากฝรั่งคือ การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสถือเป็นเรื่องบาป แต่สังคมไทยสมัยก่อนนิยมอยู่กันก่อน โดยไม่มีงาน แต่งงาน (มีการฉุดแล้วค่อยกลับมาขอขมา หรือมีการอยู่ด้วยกันก่อน ) การแต่งงานกันมีอยู่เฉพาะในสังคมของเจ้านาย
เกี่ยวกับการศึกษา
· ในปี 53 เด็กที่เรียนจบอุดมศึกษา เตรียมตัวตกงานเพราะไม่มีตำแหน่งงานรองรับ เนื่องจาก ตลาดแรงงานประเทศไทย ไม่สัมพันธ์กับนักศึกษาที่กำลังจะจบออกมา (เป็นที่สังเกตว่า ทำไมจึงมี มหาวิทยาลัยเปิดสอน กฎหมายและนิเทศศาสตร์กันมากมายทั้งๆ ที่ไม่มีตลาดรองรับ) เพราะค่านิยม หรือเพราะเหตุใด
· ทำไมเด็กจึงไม่นิยมเรียนอาชีวะ ทั้งๆที่เด็กอาชีวะสามารถทำงานได้ดีและเป็นผู้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้กับประเทศ
เกี่ยวกับศาสนา
· พุทธศาสนาสอนในเรื่องเกี่ยวกับเพศไว้ 2 ด้าน ทั้งด้านบวกและลบ (ด้านบวกคือเป็นที่จุติของมนุษย์ ด้านลบถือว่าเป็นเรื่องของการยึดติด) แต่ในปัจจุบันมีการแปลความหมายเรื่องเพศไปในทางที่ค่อนข้างเป็นลบและผิดเพี้ยนไป เช่นการมีคู่หลายคนเป็นเรื่องผิดศีล หรือการเป็นเพศที่สามถือว่าเคยทำผิดศิลข้อสามมาเมื่อชาติที่แล้ว ….. เป็นความจริงหรือความเชื่อ?
· การทำแท้งบาปหรือไม่ กฎหมายตราสามดวงของไทยโบราณไม่เอาผิดหญิงที่ทำให้ตัวเองแท้งลูก หมวดพระอัยการทาสในกฎหมายตราสามดวงมาตรา 94 แบ่งการตั้งครรภ์ออกเป็นสองช่วง ช่วงสามเดือนแรก รวมถึงมีการปรุงยาสมุนไพรเพื่อกินเข้าไปเพื่อ “รีดลูก” ส่วนจะบาปหรือไม่นั้นไม่แน่ใจเพราะพุทธศาสนาก็เกิดก่อน กฎหมายตราสามดวง
· ประเด็นการถกยังลามไปเชื่อมกับศาสนา บางศาสนาเช่นคริสต์นิกายคาทอลิกห้ามการคุมกำเนิด ในอีกหลายศาสนา การทำแท้งถูกตราว่าเป็นบาปมหันต์ ขณะที่ฝ่าย Pro-choice ชี้ว่า การปล่อยให้เด็กเกิดมาโดยไม่พร้อม ทำให้เด็กถูกทอดทิ้ง ไร้การศึกษา กระทั่งอดตาย อาจเป็นบาปมหันต์กว่า สถิติเด็กมีปัญหาเพราะเกิดมาโดยไม่พร้อมและเป็นภาระสังคมนั้นสูงขึ้นในทุกสังคม ในหลายกรณีแม่เด็กได้ 'คลอดแล้วเผ่น' ทิ้งเด็กไว้เป็นภาระต่อสังคม และทิ้งรอยบาดแผลในใจเด็กไปตลอดชีวิต
(อ้างอิง http://champ149.spaces.live.com/blog/cns!676B466C7BAC4530!538.entry)
· ท่าน ติช นัท ฮันท์ ได้แปลศีลข้อ 3 ไว้ว่า “ ทำอย่างไรถึงจะมีความรักที่แท้จริง และไม่ทำร้ายคนอื่น อีกทั้งถ้ามีคนถูกละเมิดทางเพศ เราจะต้องเข้าไปช่วยเหลือ” แต่ถ้าสังเกตจากคนไทยจะไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่งหากบอกว่า “อย่ายุ่ง เป็นเรื่องของผัวเมีย”
· ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังในวัดเมื่อสมัย ก่อน 100 กว่าปี (ปัจจุบันยังปรากฎอยู่) มีภาพเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ การช่วยเหลือตัวเอง การรักร่วมเพศ
เกี่ยวกับเยาชน
· การให้โอกาสกับเยาชนที่ก้าวพลาด เช่นเยาวชนที่เคยกระทำความผิด ต้องถูกให้ไปอยู่ในสถานพินิจ (หรือเรียกง่ายว่า คุกเด็ก) การเปิดโอกาสให้เขาได้พูดและแสดงความศักยภาพ และสร้างความดีเพื่อสังคม (ไม่ควรตัดสินพวกเขาด้วยการทำความผิดที่เขาทำ เพราะเพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกเจ็บปวดมากพอแล้ว )· การให้โอกาสกับนักเรียนที่ท้องในวัยเรียน สามารถเรียนร่วมกับเพื่อนได้ (ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในแง่ของความอับอาย การเสียชื่อเสียงของโรงเรียน โดยไม่รู้ว่าเด็กๆ ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกให้ออกนั้นบางคนหมดอนาคต และเสียอนาคตที่เกิดจากการไม่ได้เรียนหนังสือ )
เราเป็นพี่เลี้ยงพาแกนนำเยาวชน จาก 5 สถาบันอาชีวะในจังหวัดศรีสะเกษมาประชุมและช่วยเตรียมงานประชุม เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้กระบวนการทำงาน เพราะนอกจากความเสียสละในการทำงานเพื่อส่วนรวมแล้ว ความรับผิดชอบ,ทักษะความเป็นผู้นำ ความสามัคคีในการทำงานกับคนอื่น และการสร้างความสัมพันธ์กับเครือข่าย ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ควรได้เรียนรู้ เพื่อสานต่อการทำงานด้านเพศศึกษาในเยาวชน ให้ยั่งยืน
หลังจากได้ทำงานเกี่ยวกับเรื่องเพศศึกษา เห็นสถิติต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ แล้วจึงเข้าใจยิ่งขึ้น เมื่อเรื่องเพศเป็นเรื่องของธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ว่ายุคใดสมัยใดก็ล้วนแต่มีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง เมื่อการห้ามไม่ได้ช่วยลดปัญหา แล้วจะมีวิธีใดช่วยลดปัญหาได้ ….. นอกจากการสอนให้มีภูมิคุ้มกันในตัวเอง …..
· เยาวชนมากกว่า ครึ่งหนึ่งมีคู่นอนมากกว่า 1 คน
· ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ เกิดขึ้นในกลุ่มเยาวชนมากที่สุด
· เยาวชนเพียง ๒๓% ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก
· เรียนรู้เรื่องเพศศึกษาจาก พ่อแม่ เพียง ๑% (ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ ๑๒ %)
· เพศสัมพันธ์ครั้งแรกของเยาวชน อายุน้อยลง (เฉลี่ย ๑๔.๕-๑๖.๗ ปี)
· ๑๑.๑ % ของผู้ป่วยเอดส์ ๓๑.๗% ของผู้ป่วยกามโรค และ ๓๐% ของผู้หญิงที่ทำแท้ง อยู่ในช่วงวัยรุ่นอายุน้อยกว่า ๒๐ ปี
เยาวชนเป็นตัวสร้างปัญหา หรือ เยาวชนกำลังเผชิญกับปัญหา ????
· ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ เกิดขึ้นในกลุ่มเยาวชนมากที่สุด
· เยาวชนเพียง ๒๓% ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก
· เรียนรู้เรื่องเพศศึกษาจาก พ่อแม่ เพียง ๑% (ค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ ๑๒ %)
· เพศสัมพันธ์ครั้งแรกของเยาวชน อายุน้อยลง (เฉลี่ย ๑๔.๕-๑๖.๗ ปี)
· ๑๑.๑ % ของผู้ป่วยเอดส์ ๓๑.๗% ของผู้ป่วยกามโรค และ ๓๐% ของผู้หญิงที่ทำแท้ง อยู่ในช่วงวัยรุ่นอายุน้อยกว่า ๒๐ ปี
เยาวชนเป็นตัวสร้างปัญหา หรือ เยาวชนกำลังเผชิญกับปัญหา ????
มาดูเนื้อหาในงานประชุมวิชาการกัน
เนื้อหาในงานล้วนแต่น่าสนใจ ขอเล่าพอสังเขปล่ะกันนะคะ (เป็นข้อมูลอีกมุมหนึ่งที่ยังไม่เคยรู้)
เนื้อหาในงานล้วนแต่น่าสนใจ ขอเล่าพอสังเขปล่ะกันนะคะ (เป็นข้อมูลอีกมุมหนึ่งที่ยังไม่เคยรู้)
เกี่ยวกับวัฒนธรรมไทย
· “การรักนวลสงวนตัว “ ไม่ใช่เป็นวัฒนธรรมของไทย แต่เป็นวัฒนธรรมของฝรั่งเมื่อ 100 กว่าปีมาแล้ว
· “การรักนวลสงวนตัว “ ไม่ใช่เป็นวัฒนธรรมของไทย แต่เป็นวัฒนธรรมของฝรั่งเมื่อ 100 กว่าปีมาแล้ว
· วัฒนธรรมที่รับมาจากฝรั่งคือ การมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสถือเป็นเรื่องบาป แต่สังคมไทยสมัยก่อนนิยมอยู่กันก่อน โดยไม่มีงาน แต่งงาน (มีการฉุดแล้วค่อยกลับมาขอขมา หรือมีการอยู่ด้วยกันก่อน ) การแต่งงานกันมีอยู่เฉพาะในสังคมของเจ้านาย
เกี่ยวกับการศึกษา
· ไม่มีการสอนเพศศึกษาไว้ในหลักสูตรใดๆ คนไทยได้รับการสอนแต่เรื่องที่ศิวิไลซ์ บทร้อยกรองที่ถูกแต่งขึ้นทั้งขุนช้างขุนแผน ไกรทอง หรือ บทประพันธ์อื่นที่เกี่ยวกับเรื่องเพศไม่ได้ถูกนำมาให้เรียน ทั้งๆที่ประพันธ์ด้วยคนๆเดียวกันและเวลาเดียวกัน
· ในปี 53 เด็กที่เรียนจบอุดมศึกษา เตรียมตัวตกงานเพราะไม่มีตำแหน่งงานรองรับ เนื่องจาก ตลาดแรงงานประเทศไทย ไม่สัมพันธ์กับนักศึกษาที่กำลังจะจบออกมา (เป็นที่สังเกตว่า ทำไมจึงมี มหาวิทยาลัยเปิดสอน กฎหมายและนิเทศศาสตร์กันมากมายทั้งๆ ที่ไม่มีตลาดรองรับ) เพราะค่านิยม หรือเพราะเหตุใด
· ทำไมเด็กจึงไม่นิยมเรียนอาชีวะ ทั้งๆที่เด็กอาชีวะสามารถทำงานได้ดีและเป็นผู้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆให้กับประเทศ
เกี่ยวกับศาสนา
· พุทธศาสนาสอนในเรื่องเกี่ยวกับเพศไว้ 2 ด้าน ทั้งด้านบวกและลบ (ด้านบวกคือเป็นที่จุติของมนุษย์ ด้านลบถือว่าเป็นเรื่องของการยึดติด) แต่ในปัจจุบันมีการแปลความหมายเรื่องเพศไปในทางที่ค่อนข้างเป็นลบและผิดเพี้ยนไป เช่นการมีคู่หลายคนเป็นเรื่องผิดศีล หรือการเป็นเพศที่สามถือว่าเคยทำผิดศิลข้อสามมาเมื่อชาติที่แล้ว ….. เป็นความจริงหรือความเชื่อ?
· การทำแท้งบาปหรือไม่ กฎหมายตราสามดวงของไทยโบราณไม่เอาผิดหญิงที่ทำให้ตัวเองแท้งลูก หมวดพระอัยการทาสในกฎหมายตราสามดวงมาตรา 94 แบ่งการตั้งครรภ์ออกเป็นสองช่วง ช่วงสามเดือนแรก รวมถึงมีการปรุงยาสมุนไพรเพื่อกินเข้าไปเพื่อ “รีดลูก” ส่วนจะบาปหรือไม่นั้นไม่แน่ใจเพราะพุทธศาสนาก็เกิดก่อน กฎหมายตราสามดวง
· ประเด็นการถกยังลามไปเชื่อมกับศาสนา บางศาสนาเช่นคริสต์นิกายคาทอลิกห้ามการคุมกำเนิด ในอีกหลายศาสนา การทำแท้งถูกตราว่าเป็นบาปมหันต์ ขณะที่ฝ่าย Pro-choice ชี้ว่า การปล่อยให้เด็กเกิดมาโดยไม่พร้อม ทำให้เด็กถูกทอดทิ้ง ไร้การศึกษา กระทั่งอดตาย อาจเป็นบาปมหันต์กว่า สถิติเด็กมีปัญหาเพราะเกิดมาโดยไม่พร้อมและเป็นภาระสังคมนั้นสูงขึ้นในทุกสังคม ในหลายกรณีแม่เด็กได้ 'คลอดแล้วเผ่น' ทิ้งเด็กไว้เป็นภาระต่อสังคม และทิ้งรอยบาดแผลในใจเด็กไปตลอดชีวิต
(อ้างอิง http://champ149.spaces.live.com/blog/cns!676B466C7BAC4530!538.entry)
· ท่าน ติช นัท ฮันท์ ได้แปลศีลข้อ 3 ไว้ว่า “ ทำอย่างไรถึงจะมีความรักที่แท้จริง และไม่ทำร้ายคนอื่น อีกทั้งถ้ามีคนถูกละเมิดทางเพศ เราจะต้องเข้าไปช่วยเหลือ” แต่ถ้าสังเกตจากคนไทยจะไม่ค่อยอยากเข้าไปยุ่งหากบอกว่า “อย่ายุ่ง เป็นเรื่องของผัวเมีย”
· ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังในวัดเมื่อสมัย ก่อน 100 กว่าปี (ปัจจุบันยังปรากฎอยู่) มีภาพเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ การช่วยเหลือตัวเอง การรักร่วมเพศ
เกี่ยวกับเยาชน
· การให้โอกาสกับเยาชนที่ก้าวพลาด เช่นเยาวชนที่เคยกระทำความผิด ต้องถูกให้ไปอยู่ในสถานพินิจ (หรือเรียกง่ายว่า คุกเด็ก) การเปิดโอกาสให้เขาได้พูดและแสดงความศักยภาพ และสร้างความดีเพื่อสังคม (ไม่ควรตัดสินพวกเขาด้วยการทำความผิดที่เขาทำ เพราะเพียงเท่านี้เขาก็รู้สึกเจ็บปวดมากพอแล้ว )
ประเด็นต่างๆ ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องเพศที่อยู่คู่กับชีวิตประจำวันของคนเราจนแยกจากกันไม่ได้
โอกาสในการรับทราบข้อมูลของแต่ละคนแตกต่างกัน ไม่เฉพาะในงานประชุมนี้เท่านั้นที่เราได้เปิดทัศนะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เพื่อทราบความเป็นไปของสังคมไทย เพื่อมองตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เพื่อรวมตัวช่วยกันป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาจากความไม่รู้ในเรื่องเพศอย่างรอบด้าน ………
แต่ทุกคนมีโอกาสที่จะได้รับข้อมูลเหล่านี้เช่นกัน...โดยที่ไม่ยึดติดกับกรอบใดๆ ในสังคมที่ถูกสร้างขึ้นจากความเชื่อ หรือเพื่อความศิริไลด์ที่อยากจะเป็นเหมือนชนชาติอื่น ….. หากย้อนมองตัวเรา เพื่อน พี่ น้อง และญาติของเรา มีใครบ้างที่ไม่เคยเผชิญกับปัญหาเรื่องเพศ?? …….เราวัดคุณค่าของคนเหล่านั้นด้วยสิ่งใด เรามีกรอบความคิดที่บอกต่อๆ กันมาไว้อย่างไรและถ้ากรอบนั้นทำให้คนที่เรารักต้องเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราจะรู้สึกอย่างไร? เราเคารพสิทธิของกันหรือไม่ ? ถ้าเราไม่เชื่อคนไทย ไม่เคารพกันและกัน ไม่รับฟังกันและกัน ไม่ช่วยคนไทยด้วยกัน แล้วใครจะช่วยเรา……ช่วยกันเพื่อเยาวชนและคนไทยค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น